วิธีชงนมเด็ก และวิธีเก็บรักษานมให้อยู่ได้นาน

การเลี้ยงลูกด้วยนมผงนั้น อาจเพิ่มความสะดวกให้กับคนในครอบครัวได้มากขึ้นก็จริง แต่ก็มีเคล็ดลับและรายละเอียดปลีกย่อยหลายอย่างเพื่อการชงนมอย่างถูกวิธี ซึ่งจะต้องไม่ให้เกิดฟองขึ้นระหว่างการเขย่าขวดนม เนื่องจากจะเป็นสาเหตุทำให้ลูกน้อยเกิดอาการท้องอืดตามมาได้ โดยปกติ วิธีชงนมเด็ก มีขั้นตอน ดังนี้

– ใช้น้ำต้มสุกที่ผ่านความร้อนจนเดือดและทิ้งไว้จนเย็นลงแล้ว เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นน้ำที่สะอาด มีการปนเปื้อนของเชื้อโรคน้อยที่สุด และจะไม่ใช้น้ำร้อนจัดในการชงนมเนื่องจากความร้อนจะทำลายโปรตีนและวิตามินบางส่วนในนมผง เช่น วิตามิน C ซึ่งจะไม่ทนความร้อน
– สัดส่วนของปริมาณน้ำต่อนมผงก็เป็นเรื่องสำคัญ นมเด็กทุกยี่ห้อจะมีสัดส่วนที่เหมาะสมอยู่ด้านข้างบรรจุภัณฑ์ แต่ทั่วไปมักใช้น้ำอุ่นประมาณ 1 ใน 3 ของขวดนม ต่อนมผง 1 ช้อนตวง ที่บรรจุมากับกระป๋อง และปาดให้เรียบด้วยมีดที่สะอาด เมื่อผ่านขั้นตอนนี้แล้วจึงเติมน้ำอุ่นเพิ่มตามอัตราส่วนที่เหลือ เขย่าขวดให้นมละลายจนหมด ในขั้นตอนการเขย่านี้เองที่ต้องใช้ความพิถีพิถันและอาศัยเทคนิคเพื่อให้การเขย่าเกิดฟองน้อยที่สุด ซึ่งทำได้ด้วยการจับขวดนมให้แน่น แล้วหมุนมือเป็นวงกลม เหมือนเอาขวดนมแกว่งน้ำ แทนการเขย่าขึ้นลง จะเกิดฟองมากกว่า
– การทดสอบหยดน้ำนมลงบนหลังมือก่อนถือเป็นอีกขั้นตอนสำคัญที่ควรทำทุกครั้งก่อนยื่นขวดนมให้ลูก เพราะการทดสอบนี้จะช่วยประเมินได้ว่าอุณหภูมิของนมขวดนั้นอุ่นพอเหมาะหรือไม่ ซึ่งหากนมร้อนเกินไปก็อาจลวกปากลูกน้อยได้ แต่ก็ยังมีคุณแม่อีกหลายคนที่ชงนมด้วยอุณหภูมิที่สูงเกินไปจึงไม่สามารถให้ลูกกินได้ทันที ต้องทิ้งให้น้ำนมเย็นลงก่อน แต่การวางนมทิ้งไว้นานเกินก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำเพราะอาจเริ่มบูดจนเป็นอันตรายแก่ลูกน้อยได้

คุณพ่อคุณแม่จึงมักมีคำถามต่อว่า นมเด็กชงแล้วอยู่ได้นานแค่ไหน คำตอบคือไม่เกิน 2 ชั่วโมงในอุณหภูมิห้อง หากว่านมที่ชงแล้วถูกทิ้งไว้นานกว่านี้ ก็ควรเทนมในขวดทิ้งไป แต่หากต้องชงนมไว้ทีละหลายขวด แนะนำให้เก็บขวดที่ยังไม่ได้ป้อนลูกไว้ในตู้เย็นเสมอ และนำมาอุ่นด้วยการแช่ในน้ำร้อนก่อนป้อนเด็กทุกครั้ง และควรเทนมทิ้งไป หากเก็บไว้นานกว่า 24 ชั่วโมง

ที่สำคัญและลืมไม่ได้คือการจับลูกให้เรอ หลังอิ่มนมแล้วทุกครั้ง เพื่อลดปัญหาการแหวะนม และท้องอืด เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้ลูกน้อยหลับสบายไม่โยเยหลังป้อนนมเรียบร้อยแล้ว

เลือก กันสาดอัตโนมัติ ให้ตรงกับโจทย์การใช้งาน

สำหรับเมืองร้อนและฝนอย่างประเทศไทย รูปแบบวัสดุที่ยื่นมาจากตัวอาคาร ไว้บังแดด หรือ บังฝน ที่เรียกว่า กันสาดและวัสดุเพื่อปกป้องตัวบ้าน นั้นมีความจำเป็นสำหรับบ้านทุกหลัง เพื่อปกป้องสีบ้านไม่ให้ซีด หรือ วัสดุตัวอาคารไม่ผุกร่อนเร็วเนื่องจากแดดและฝน กันสาดอัตโนมัติ เป็นส่วนต่อเติมที่หลายบ้านนิยมสร้างกัน เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอยในบริเวณบ้านแล้ว กันสาดอัตโนมัติ ยังช่วยป้องกันแสงแดด ความร้อน และช่วยป้องกันฝนสาดเข้าบ้านได้อีกด้วย ซึ่งแบบกันสาดบ้านในปัจจุบันก็มีให้เลือกหลากหลายแบบ ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้งาน สไตล์ที่ต้องการตกแต่ง และงบประมาณที่มี

เลือก กันสาดอัตโนมัติ ให้ตรงกับโจทย์การใช้งานกันสาดพับได้ กันสาดอัตโนมัติพับเก็บได้ หรือ กันสาดอัตโนมัติ คือรูปแบบหนึ่งของกันสาดผ้าใบที่สามารถยื่นออก (แขนยื่นออกไป) และม้วนพับเก็บได้ในลักษณะแนวนอน สามารถติดตั้งในองศาเฉียงดิ่งลงได้เล็กน้อยประมาณ 25-30 องศา ทำขนาดกว้างได้ตั้งแต่ 2 – 8 แขนยื่นออกได้ 1.50 – 3.50 m. (ขึ้นอยู่กับรุ่น) ในท้องตลาดจะมีงานหลายเกรด ส่วนที่ต้องสังเกตุให้ดีคือโครงสร้างของกันสาดควรเป็นอลูมิเนียมทั้งหมด จึงจะแข็งแรง ทนทาน ใช้งานได้นาน ส่วนของการควบคุมกันสาดมีทั้งระบบมือหมุน หรือระบบมอเตอร์ไฟฟ้าให้เลือก กันสาดรูปแบบนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในต่างประเทศ เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ค่อนข้างจำกัด เช่น ต้องการความยื่นมาก แต่ไม่อยากตั้งเสาให้เกะกะ และไม่ต้องการให้พื้นที่ปิดทึบตลอดเวลา เช่น หน้าร้าน หน้าบ้าน-อาคาร ป้อมยาม ฯลฯ และช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอยบริเวณใต้กันสาด

คุณสมบัติเด่น : โครงสร้างแข็งแรง – พับเก็บได้เรียบร้อย (บางรุ่นพับเก็บได้ในกล่องมิดชิด)
ข้อดี : กันแดด กันฝน ช่วยเพิ่มความภูมิฐานให้กับสถานที่
ข้อเสีย : ต้องระวังเรื่องลมแรง หรือ ฝนตกหนัก (ควรพับเก็บเพื่อป้องกันความเสียหาย) *ในระบบมอเตอร์สามารถติดอุปกรณ์เสริม เซ็นเซอร์ลม เซ็นเซอร์แดด

ลดปัญหาริ้วรอยหมองคล้ำด้วยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คือ การเติมสารเติมเต็มกลุ่ม “ไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid)” หรือ HA ที่สร้างขึ้นเพื่อเลียนแบบสารธรรมชาติ ที่จะฉีดเข้าบริเวณใต้ตาที่มีปัญหาริ้วรอยหมองคล้ำหรือใต้ตาที่กระดูกใต้ตายุบตัวลงทำให้เนื้อบริเวณใต้ตานั้นตาม ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อย หน้าดูโทรม อ่อนล้าและดูมีอายุ ปัญหาเหล่านี้สามารถด้วยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เพื่อให้ใต้ตานั้นดูตื้นขึ้น และรอยคล้ำก็ดูจางลงด้วย ทำให้ใบหน้ากลับมาสดใส อ่อนเยาว์ ดูมีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ปัญหาใต้ตาคล้ำลึกดูไม่สดชื่น สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

  1. ใต้ตาคล้ำจากโรคภูมิแพ้ รอยหมองคล้ำใต้ตาที่เกิดจากโรคภูมิแพ้ ส่งผลให้ระบบการไหลเวียนเลือดติดขัด เมื่อจมูกบวม ก็จะปิดกั้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดคั่งอยู่บริเวณผิวหนังใต้ตา นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มักจะมีอาการ คัน ระคายเคืองที่ตา ทำให้ต้องขยี้ตาเป็นประจำ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ตาดำ
  2. การพักผ่อนไม่เพียงพอ การพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลให้รอบดวงตามีความคล้ำ ดูไม่สดชื่น วิธีนี้แก้ได้ง่าย ๆ ได้ด้วยการพักผ่อนวันละไม่ต่ำกว่า 6-8 ชั่วโมง ซึ่งคนที่พักผ่อนน้อยก็จะมีปัญหาเรื่องตาบวมตามมา ทั้งนี้ การงดรับประทานอาหารที่มีรสเค็ม โซเดียม ผงชูรสมากเกินไป ก็อาจเป็นอีกสาเหตุให้ใต้ตาคล้ำได้เช่นกัน
  3. อายุที่เพิ่มมากขึ้น เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น Baby Fat ซึ่งอยู่ในตำแหน่งหน้าแก้มและบริเวณใต้ตา จะเริ่มหายไป ทำให้เกิดร่องลึก เมื่อเจอแสงและเงาส่องก็จะยิ่งเห็นชัดเจนว่า ตาโหล ตาดำ หรือ บางคนมีถุงไขมันใต้ตาเยอะกว่า ส่วนไขมันที่แก้มหายไป ทำให้ดูเหมือนตาปูด มีถุงใต้ตาตั้งแต่อายุน้อย ๆ นั่นเอง
  4. ลักษณะทางพันธุกรรม ลักษณะทางพันธุกรรมเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุตาโหล ตาดำ เนื่องจากลักษณะโครงหน้าของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เช่น พันธุกรรมที่พบบ่อย คือ คนที่มีโครงหน้าแขก เกิดจาก โครงสร้างของกะโหลก จะมีเบ้าตาลึกแบบชาวตะวันตก ทำให้เมื่อแสงแดดส่องก็จะตกกระทบเป็นเงามืด ทำให้ดูแล้วใต้ตาดำคล้ำ

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นวิธีที่เหมาะกับคนที่มีร่องใต้ตาไม่ลึกหรือกว้างมากนัก โดยจะเป็นการนำสารสังเคราะห์ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้ใกล้เคียงกับสารที่มีอยู่ในร่างกายอย่างไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) นำมาใช้ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณใต้ตาที่มีเป็นร่องลึก เพื่อช่วยลดรอยเหี่ยวย่น ทำให้ใต้ตาดูอวบอิ่มสดใสมากขึ้นกว่าเดิม

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับใคร

  • คนที่มีปัญหารอยคล้ำใต้ตา ที่เป็นสาเหตุให้ใบหน้าดูไม่สดใส เหมือนคนพักผ่อนน้อย
  • คนที่มีปัญหากระดูกบริเวณใต้ตาที่ยุบตัวลง จากอายุที่มากขึ้น ทำให้ดูตาโบ๋ ตาลึก
  • คนที่มีปัญหาใต้ตาที่เกิดลักษณะทางพันธุกรรม ที่ป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุตาโหล ตาดำ